ดังนั้นผู้มีรายได้สูงทุกคน ควรพิจารณาภาระ ในการจ่ายภาษีเงินได้อย่างถี่ถ้วน นักบริหารหลายรายภูมิใจ เมื่อประหยัดภาษีนิติบุคคล ให้กับบริษัท แต่เขาจะมี ความสุขมากกว่า หากลดภาษีให้กับตัวเอง ต่อไปนี้เป็นการวางแผนภาษี ที่น่าพิจารณา
1. รายได้ที่ยกเว้นภาษี มีรายได้บางประเภทที่ได้รับการ “ ยกเว้นภาษีเงินได้ ” ซึ่งดูได้จาก ประมวลกฎหมายรัษฎากร มาตรา 42 และกฎกระทรวง ฉบับที่ 126 ที่สำคัญ ได้แก่ กำไรจากการขายหุ้นในตลาดหุ้นอย่างไรก็ตาม นักลงทุนมีโอกาสทำกำไร จากหุ้น พอๆ กับการขาดทุน ซึ่งถ้าเขาขาดทุน ก็ไม่สามารถ นำมาเป็นค่าใช้จ่าย ในทางภาษีเช่นกัน ในช่วงที่ตลาดหุ้นผันผวน ก็เป็นเรื่องยาก ที่จะทำกำไร มีทางเลือกหนึ่ง คือ การลงทุนในกองทุน เพื่อรอรับผลได้ในรูป ของการเพิ่มราคา ของหน่วยลงทุน ซึ่งการขายหน่วยในตลาด โดยได้กำไร ก็ไม่ต้องเสียภาษี ดอกเบี้ยพันธบัตรรัฐบาล ที่ออกก่อนวันที่ 1 กุมภาพันธ์ 2529 ก็ได้รับ การยกเว้นภาษี เช่นกัน แต่พันธบัตรเหล่านี้ ก็ครบอายุการไถ่ถอนไปหมดแล้ว ดังนั้น การหารายได้ ที่ยกเว้นภาษี จากพันธบัตรรัฐบาลจึงยาก
2. รายได้ที่ได้รับการลดอัตราภาษี แม้ว่าอัตราภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา จะเริ่มต้นที่ 5% เมื่อคุณมีรายได้เกิน 50,000 บาท และเพิ่มเป็น 37% เมื่อเกิน 4 ล้านบาท แต่ก็มีรายได้ 2 ประเภท ที่รัฐบาลลดหย่อนภาษีได้
(1) ปันผลเสียภาษีเพียง 10% นอกจากนี้ ถ้าคุณอยู่ในกลุ่มที่เสียภาษีไม่ถึง 37% คุณก็ขอเครดิตภาษี 3/7 จากเงินปันผล และใช้ภาษีหัก ณ ที่จ่ายอีก 10% มาชดเชย การเสียภาษีเงินได้ของคุณได้อีก ในกรณีนี้ ถ้าคุณยื่นแบบขอคืนเงินภาษี ก็จะได้รับเงินคืน มากพอสมควร แต่วิธีขอเครดิต และขอคืนภาษีนี้ จะใช้ไม่ได้ผล เมื่อคุณเสียภาษีถึงอัตรา 37
(2) ดอกเบี้ย ซึ่งได้เสียภาษีหัก ณ ที่จ่าย 15% แล้วเงินส่วนที่เหลือ ( balance) ก็เป็นรายได้ ที่ไม่ต้องเสียภาษี การขอคืนเงินภาษีหัก ณ ที่จ่าย จะคุ้มค่าก็ต่อเมื่อคุณ มีรายได้ไม่เกิน 600,000 บาทต่อปี หากปราศ จากการลดหย่อนอัตราภาษีในกรณีเช่นนี้แล้ว ผู้มีฐานะมั่งคั่ง จะต้องจ่ายภาษี มากจากรายได้ดอกเบี้ย ในสหรัฐ ดอกเบี้ยพันธบัตรเทศบาล ( Municipal Bond) ก็ไม่ต้องเสียภาษี จึงได้รับความนิยมมาก เพราะชาวอเมริกัน ต้องจ่ายภาษี ตามอัตราปกติ จากรายได้ดอกเบี้ย ถ้าคุณต้องจ่ายภาษีที่ 37% และได้รับดอกเบี้ย ที่ยกเว้นภาษีรายได้ เช่นที่ 8% ก็หมายความว่า คุณมีผลตอบแทน ก่อนหักภาษีเท่ากับ ประมาณ 12.7% ( โดยคำนวณจากเอา 8 ตั้งแล้วหารด้วย 63%)
3. รายได้ที่หักรายจ่ายได้สูง ประมวลรัษฎากร จำแนกเงินได้บุคคลธรรมดา ออกเป็น 8 ประเภท ซึ่งคุณสามารถ เลือกว่าจะทำรายได้ ประเภทไหน และหาเงินอย่างไร แต่วิธีที่ดีที่สุดคือ หลีกเลี่ยงการมีรายได้ ประเภทเงินเดือน และค่าจ้างในฐานะ พนักงานลูกจ้าง เพราะมาตรการหักภาษีเหมา 40% แต่ไม่เกิน 60,000 บาทต่อปี เป็นผลเสีย ต่อตัวคุณเอง ถ้าคุณมีอาชีพให้บริการ ก็ลองผันแปรตัวเอง ไปอยู่ในกลุ่มผู้มีวิชาชีพอิสระ คือ แพทย์ วิศวกร นักบัญชี สถาปนิก ทนายความ และปราณีตศิลปกรรม ข้อสำคัญ “ จงอยู่ให้ห่างจากกลุ่มพนักงานที่รับเงินเดือนประจำ ”
ลองดูตัวอย่างของวิศวกร คนหนึ่ง ถ้าเขามีรายได้ 400,000 บาทต่อเดือน หรือ 4.8 ล้านบาทต่อปี หากรับเงินเดือน เป็นพนักงานประจำ เขาจะได้รับ ค่าลดหย่อนเพียง 60,000 บาทต่อปี ดังนั้น เขาจะเสียภาษีทั้งสิ้น 1.3 ล้านบาท หรือราว 110,000 บาทต่อเดือน ทำให้เขาเหลือเงินเดือน ที่แท้จริงเพียง 290,000 บาท แต่ถ้าเขาเปลี่ยนสถานะตัวเอง ไปเป็นที่ปรึกษาวิศวกรรม เขาจะหักรายจ่ายเหมา 30% โดยไม่จำกัดจำนวนขั้นสูง เท่ากับได้หักเพิ่มเป็น 1.44 ล้านบาท ทำให้เขาเสียภาษีเงินได้เพียง 841,500 บาท ซึ่งหมายความว่าลดภาษีไป 458,500 บาทต่อปี หรือเท่ากับ 38,200 บาทต่อเดือน ข้อได้ เปรียบของวิธีนี้ก็คือ คุณจะประหยัดภาษีได้ทุกเดือน ตราบเท่าที่ยังทำงานอยู่ ไม่ใช่ประหยัดแค่เดือนเดียว
4. การหักค่าใช้จ่ายตามความเป็นจริงแทนการเหมา ถ้าคุณเป็นวิศวกร และยังไม่พอใจ กับการลดหย่อนเหมา 30% คุณก็หักค่าใช้จ่ายตามความเป็น จริง แทนการหักแบบเหมา กล่าวคือ เพิ่มรายจ่ายให้มากๆ แล้วคุณก็ จะได้รับการลดหย่อน มากขึ้น เช่น คุณอาจลงทุนซื้อคอนโดมิเนียมสำนักงาน โดยตั้งบริษัท ซึ่งการจ่ายดอกเบี้ย ที่จ่ายให้ธนาคาร ไม่ว่าจะเป็นเท่าใด ก็จะได้รับการลดหย่อนภาษี ซึ่งเมื่อเทียบกับ การซื้อบ้านซึ่ง ทางการอนุญาต ให้คุณหักได้ปีละ 50,000 บาท นอกจากนี้ คุณยังสามารถ หักค่าเสื่อมราคาคอนโดมิเนียม อุปกรณ์สำนักงาน และเฟอร์นิเจอร์ พร้อมกับ สิ่งอำนวย ความสะดวกต่างๆ รวมทั้งค่าบำรุงรักษา เพื่อลดหย่อนภาษีเงินได้ แล้วคุณยังมีความสุข กับคอนโด ที่อาจมีราคาเพิ่มขึ้น หากตั้งอยู่ในทำเลที่ดียิ่ง ไปกว่านั้น คุณสามารถเช่า หรือซื้อรถยนต์สวยๆ สักคัน และหักค่าใช้จ่าย ภาระดอกเบี้ย ค่าเสื่อมราคา ไม่เกินคันละ 1 ล้านบาท ค่าประกันภัย และค่า น้ำมัน เป็นค่าใช้จ่าย ของบริษัท ซึ่งรายการเช่นนี้ ช่วยให้คุณจ่ายภาษีลดลงอีก แต่คุณต้องขยัน เก็บใบเสร็จรับเงิน ทำบัญชี และเก็บตัวเลขต่างๆ เอาไว้ ให้ดี เพื่อใช้เป็นหลักฐาน ในการหัก ค่าใช้จ่าย ดังนั้น คุณต้องเรียนรู้ศิลปะ การจัดเก็บเอกสาร และบัญชี แต่ถ้าคุณ ทำไม่ได้ ก็จ้างคนอื่น มาทำให้จะ ปลอดภัยกว่า
|